หลังจากที่เกริ่นข้อมูลหลักๆกันไปแล้วในตอนที่แล้ว ตอนนี้ผมจะเล่าเรื่องราวในการเดินทางล้วนๆ ตั้งแต่ออกเดินทางจากโตเกียวมุ่งหน้าสู่ไอส์แลนด์ ไม่รู้ว่าทริปนี้จะลำบาก จะตื่นเต้นแค่ไหน ไม่มีหวั่น ออกเดินทางได้ !!!
เริ่มตั้งแต่วันเดินทางวันแรก วันที่ 23 กันยายน ตามตาราง จะออกเดินทางจากสนามบินนาริตะโดยสายการบิน SAS เที่ยวบิน SK0984 ออกเดินทางเวลา 11.40 ซึ่งถือว่าไม่เช้าและไม่สายไปกำลังพอดี และจะถึงที่ Copenhegen ประมาณ 4 โมงเย็น ด้วยความที่บินครั้งนี้เป็นช่วงกลางวัน ผมเลยเลือกที่จะนั่งติดหน้าต่าง เพื่อที่จะได้ถ่ายภาพระหว่างทางมาด้วย และหลังจากที่พยายามหาข้อมูลใน Google อยู่นาน ว่าจะนั่งข้างไหน ผลที่ได้ก็คือ ไม่รู้ … ราวกับว่า ไม่ว่านั่งข้างไหน วิวก็ไม่สวยพอกัน จากที่พยายามเล็งๆเอาด้วย Google Earth ผมเดาเอาเองว่า ฝั่งซ้ายน่าจะมีอะไรให้เห็นมากกว่า จึงเลือกนั่งฝั่งซ้าย หลังจากที่นั่งไปจนถึง Copenhagen ผมก็พบว่าผมเลือกผิด ฮ่าๆ เพราะฝั่งซ้ายแทบไม่มีอะไรเลย แต่ผมแอบเหลือบเห็นว่า ถ้านั่งอยู่ฝั่งขวาจะสามารถเห็นสะพานยาวๆที่ Denmark ซึ่งผมก็ไม่รู้นะครับ ว่าสะพานนี้ชื่ออะไร แต่เท่าที่มองจากไกลๆ ผมคิดว่าฝั่งขวาน่าจะดีกว่าฝั่งซ้าย เพราะฉะนั้นใครที่บินเส้นทางเดียวกัน ลองนั่งฝั่งขวาดู ผลเป็นยังไงบอกผมด้วยนะครับ
หลังจากที่แวะเปลี่ยนเครื่องที่ Copenhagen ซึ่งเที่ยวบินผมใช้เวลาแวะไม่นานประมาณ 3 ชั่วโมงได้ ซึ่งใครที่แวะเปลี่ยนเครื่องที่นี่ ต้องระวังอย่างหนึ่งคือ เราต้องข้ามโซนในสนามบินมาเป็นโซนที่ใช้บินในยุโรป ซึ่งตรงนี้เองที่ต้องผ่าน ตม. และแสดงวีซ่า ตอนแรกผมเองก็ไม่รู้มาก่อน เพราะนี้เป็นทริปที่ไปเที่ยวยุโรปครั้งแรก ผมเดินไปหาที่นั่งกินกาแฟรอเวลา ซักพักเริ่มรู้สึกแปลกใจ ทำไมคนดูน้อยๆ เลยเดินลึกเข้าไปอีกหน่อย เท่านั้นละครับ ต้องรีบไปต่อคิวเลยทีเดียว ยังดีที่ยังเหลือเวลาอีกพอสมควร ไม่งั้นทริปนี้อาจจะล่มตั้งแต่ยังไม่ถึงไอส์แลนด์แล้ว ขึ้นเครื่องไปไอส์แลนด์ผมยังคงนั่งริมหน้าต่างเช่นเคย โดยหวังว่าจะได้ภาพสวยๆบ้าง ถ้าใครต้องการที่จะถ่ายภาพขาเข้าไอส์แลนด์ต้องนั่งฝั่งขวา จะเห็นวิวของไอส์แลนด์จากบนเครื่อง ถ้านั่งผิด เห็นแต่ทะเลนะครับ แต่น่าเสียดาย เที่ยวบินของผมกว่าจะถึงไอส์แลนด์ก็มืดแล้ว เลยถ่ายได้ไม่ค่อยสวยนัก
แต่ถ้าใครบินกับ Icelandair อย่าสนใจแต่วิวข้างนอก ให้สนใจในเครื่องด้วย เพราะบนเครื่องบิน Icelandair จะเปิดไฟเป็นแสงเหนือครับ ซึ่งผมเองก็พลาด ไม่ทันได้สังเกตหรือถ่ายรูปเลย เอาแต่มองนอกหน้าตากับนอนอย่างเดียว มารู้อีกทีก็ตอนเพื่อนบอก
รูปแสงเหนือบนเครื่องบิน Icelandair จากมือถือเพื่อนผม
นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี เที่ยวบินของผมไม่มีดีเลย์และถึงที่หมายตามกำหนด และเมื่อถึงสนามบิน Keflavik ผมก็ไปเจอพี่เบิร์ดผู้ร่วมชะตากรรมของทริปนี้คนแรก จากนั้นทำเรื่องแลกเงินและรับรถ เสร็จเรียบร้อยก็ขับเข้าเมือง Reykjavik เพื่อพักผ่อนเตรียมลุยสำหรับพรุ่งนี้ต่อ ซึ่งจะเป็นยังไง ต้องติดตามกันตอนหน้า
สวัสดีครับ
เล่าเรื่องที่พัก
101 Guesthouse
เปิดมาคืนแรกก็เต็มไปด้วยความมันส์เลยครับ เพราะเป็นที่นี่เป็น Guesthouse ที่หายากมาก ใช้ชื่อว่า 101 Guesthouse แต่พอจริงๆดันต้องไปเช็คอินรวมกับ Guesthouse Aurora
ผมก็หาแล้วหาอีก ไม่รู้ว่าป้ายของ Guesthouse อยู่ที่ไหน บวกกับไปถึงประมาณ 4 ทุ่ม ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เลย มีเพียงแต่รหัสเข้าประตู Lobby เพื่อเข้าไปเอากุญแจห้องที่วางอยู่บนโต๊ะ
แต่ข้อดีของโรงแรมนี้คือใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวครับ ใกล้กับโบถส์ Hallgrímskirkja มาก เดินไม่กี่ก้าวถึงเลย เพราะฉะนั้นวันรุ่งขึ้นผมสามารถเปิดผ้าม่านดูอากาศแล้วตัดสินใจได้เลยว่าจะนอนหรือจะออกไปถ่ายแสงเช้า