หลายคนอาจจะเคยเห็นภาพตาม Social Media มาพอสมควร ภาพของฟองอากาศที่ลอยค้างอยู่ในทะเลสาบที่แข็งตัว ตอนแรกก็คิดว่ามันคือฟองน้ำหรือฟองอากาศธรรมดา แต่ที่ไหนได้ มันคือแก๊สมีเทน หรือที่เรียกง่ายๆว่า ตดของแบคทีเรียนั่นเอง !!!
จริงๆแล้วทริปนี้ผมไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นไวขนาดนี้ ซึ่งตอนแรกทำการจองตั๋วไปประเทศแคนนาดาเพื่อที่จะไปเก็บภาพใบไม้เปลี่ยนสีที่นั้น แต่เพราะตารางการทำงานมีการเปลี่ยนแปลง ทริปใบไม้เปลี่ยนสี ต้องเลื่อนไป ซึ่งตั๋วที่ซื้อมาเป็นตั๋วราคาถูก ไม่สามารถของเงินคืนได้ ยังดีที่สามารถเสียเงิน เลื่อนตั๋วได้ ก็นั่งหาตารางเวลาที่เหมาะสมและสมาชิกที่พร้อมจะไปด้วยกันได้อยู่นานพอสมควร จนได้พี่เอิ๊ก พี่หมอที่เคยออกทริปด้วยกันหลายทริปที่ญี่ปุ่น สนใจจะไปด้วยกัน ในช่วงแรกของการวางแผน ก็ลุ้นกันว่า อากาศจะได้รึเปล่า จะเห็นฟองรึเปล่า นอกจากฟองจะถ่ายอะไรดี ด้วยความที่ค่อนข้างชิลทั้งคู่ ทริปนี้จนวันบินจริงๆ แทบจะไม่ได้ลงพิกัดกันจริงจัง หรือเรียกได้ว่า ไปลุ้นเอาตามหน้างานก็ว่าได้
ทริปนี้ ผมเดินจากสนามบิน San Francisco ตรงไปลงที่สนามบินเมือง Calgary ซึ่งเป็นสนามบินที่ใกล้กับ Lake Louise พอถึงสนามบินจัดการเคลียเรื่องรถเช่า นัดพบกับสมาชิกทั้งหมด 1 คน แล้วก็ออกเดินทาง ทริปนี้ผมจะพักที่ Lake Louise เป็นหลัก เพราะจากการคำนวณระยะทางแล้ว จุดถ่ายภาพหลายๆจุดสามารถเดินทางจากที่นี่ได้ไม่ยากมากนัก โดยมุ่งหน้าออกจากเมือง Calgary ตรงดิ่งไปยัง Lake Louise จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เข้าไปยัง Banff National Park เอาจริงๆ ผมก็ยังออกเสียงเมืองนี้ไม่ค่อยออกเท่าไหร่ น่าจะแบนฟ์ หรือบานฟ์อะไรประมาณนี้ และด้วยความที่วันออกเดินทาง อากาศค่อนข้างโอเค พี่เอิ๊ก ผู้ร่วมทริปจึงชวนแวะระหว่างซึ่งเป็นจุดชมวิวของเมือง Banff จริงๆตอนแรกก็แอบอยากพุ่งเข้าโรงแรม จะได้พักผ่อนเตรียมเที่ยววันรุ่งขึ้นเลย แต่ไหนๆก็มาแล้ว แวะซักหน่อยก็คงจะไม่เสียหาย มุมนี้เป็นมุมนี้ค่อนข้างง่าย ขับรถถึงแล้วปักขาตั้งถ่ายได้เลย ซึ่งรูปก็จะประมาณด้านล่างเนี่ยละครับ ซึ่งหลังจากเสร็จ ก็รีบตรงเข้าที่พักเพราะค่อนข้างดึกมากแล้ว เดี๋ยวจะตื่นไปถ่ายแสงเช้าของวันรุ่งขึ้นไม่ไหวเอา
เมือง Banff ยามค่ำคืน จากจุดชมวิว
เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาว เวลาพระอาทิตย์ขึ้นจะค่อนข้างสายหน่อย และเวลาพระอาทิตย์ตกจะค่อนข้างเร็วหน่อย ทำให้ทริปนี้มีเวลาพักผ่อนพอสมควร แต่วันแสงแรกของทริปก็ต้องผิดหวัง ปรากฏว่า วันแรกของทริปเป็นวันที่หิมะตก แม้จะไม่หนัก แต่ก็ไม่เห็นแสงลอดใดๆออกมากจากขอบฟ้า ด้วยความขี้เกียจ ผมกับพี่เอิ๊กจึงตกลงกันว่า ไปเก็บแสงเช้าที่ Lake Louise ละกัน เพราะใกล้ ถ้าอากาศมันแย่มากๆ ก็รีบไป รีบกลับมานอน ซึ่งสภาพของแสดงเช้าที่ Lake Louise วันแรก ก็ตามภาพข้างล่างเลยครับ
Lake Louise ที่มีหิมะคุลม
ระหว่างที่ถ่ายภาพไป เห็นสามนักปีนเขา แบกอุปกรณ์ไปครบ ทำให้คิดว่า วันแบบนี้ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่คนถ่ายภาพต้องการ แต่สำหรับสามคนนั้นอาจจะเป็นสวรรค์เลยก็ได้
3 นักปีนเขาพร้อมอุปกรณ์ครบ
หลังจากยืนเล็งไปเล็งมาซักพัก รู้สึกถูกใจยอดเขานี้เป็นพิเศษ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มีชื่อเรียกว่าอะไร (ใครรู้ก็บอกผมด้วยละกันครับ) ประกอบกับมีรถไถหิมะ วิ่งไถหิมะเพื่อให้เป็นลานน้ำแข็งสำหรับเล่นไอส์สเก็ต เลยถ่ายเก็บมาไว้ภาพนึง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขานี้ใหญ่โตขนาดไหน
รถไถหิมะกับยอดเขา
และไม่ไกลจากตรงนั้น ก็มีกระท่อมอยู่หลังนึง พอมองแล้วผมรู้สึกว่า มันค่อนข้างเข้ากับความท่วมของหิมะ เลยถ่ายเก็บมาอีกภาพหนึ่ง ถือว่า ครบ จบพอดีกับแสงเช้าวันแรก
กระท่อมกลางดงหิมะ
เสร็จจากแสงเช้า ก็พักผ่อนรอแสงเย็น แต่ด้วยความที่โชคไม่เข้าข้าง เย็นวันนั้น หิมะกลับตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่กลายเป็นทริปพักผ่อนยาวๆไปอีกแทน และวันรุ่งขึ้น หิมะยังคงตกหนักอยู่ แต่ทริปนี้เสียเงินมาเยอะแล้ว จะมานอนอยู่โรงแรมเฉยๆไม่ได้ ต้องออกไปลุ้น พวกเราจึงตัดสินใจไปลุ้นแสงเช้าที่ Bow Lake ซึ่งพอว่า ยับเยินครับ หิมะตกหัก ฟ้าปิด มองแทบไม่เห็นแม้แต่ยอดเขาใกล้ๆ ด้วยความที่มันแย่มากจนไม่มีแรงจะกดชัตเตอร์ ผมเลยไม่ได้มีรูปมาฝาก และพอถึงช่วงสายหิมะเริ่มเบาลง จึงคุยกันและตัดสินใจว่า มุมที่รถไฟวิ่งผ่านที่ Morant’s Curve น่าจะยังพอรอดอยู่นะ เลยไปเสี่ยงลุ้นดู ที่มุมนี้รถไฟดันวิ่งไม่เหมือนญี่ปุ่น เพราะไม่ใช่รถไฟโดยสารปกติ จึงทำให้ไม่สามารถเช็คเวลาวิ่งที่แน่นอนได้ เรียกได้ว่า ถ้าโชคดีก็วิ่ง โชคร้ายก็ไม่วิ่ง ซึ่งตามสูตรพวกผม ที่โชคไม่ค่อยดี ตอนที่ไปถึงมุมนี้ คนที่ยืนรออยู่บอกว่า รถไฟเพิ่งวิ่งผ่านไปเอง … พระเจ้า คนอะไรจะซวยได้ขนาดนี้ แต่มาแล้วจะให้ถอยกลับไปมือเปล่าไม่ได้ รอก็รอ ปักขาตั้ง นั่งรอกับพี่เอิ๊กไป ซักพักมีแก๊งคนจีนมาลงอีก ยืนรอไป คุยกันไปบ้าง สุดท้ายรอไป 3 ชั่วโมง เสียงสววรค์ของรถไฟ ปู๊นๆ ดังขึ้นมาจากด้านซ้ายของจุดที่ยืนอยู่ ทุกคนในนั้นรีบวิ่งกลับไปคว้ากล้อง ดีที่ผมยืนไม่ได้ไกลจากกล้อง สามารถถ่ายภาพรถไฟตอนวิ่งเข้ามาได้ ซึ่งก็สวยไปอีกแบบ
ภาพรถไฟก่อนเข้า Morant’s Curve
และพอรถไฟวิ่งผ่านมาด้านหน้า ก็จะได้ภาพรถไฟกับวิวภูเขาด้านหลังอย่างที่ตั้งใจไว้ตามภาพข้างล่างเลยครับ (จริงๆตอนแรกยังพอเห็นฟ้าและทิวเขามากกว่านี้ แต่รอไปรอมา หายหมดทั้งฟ้าทั้งเขา)
ภาพรถไฟที่ Morant’s Curve
จบวันที่สองไป วันที่สามยังคงแย่เหมือนเดิม ผมกับพี่เอิ๊กจึงตัดสินใจ … นอนต่อครับ ไม่ต้องลุ้นมันละ เปลืองแรงเหมือนวันที่สองเปล่าๆ ขนาดตอนสายหิมะยังคงตกไม่หยุด จนผมคิดว่า ไม่ถ่ายรูปมัน ขับรถไปเล่นสโนว์บอร์ดดีกว่า ส่วนพี่เอิ๊กไปนอนพักผ่อนในโรงแรมต่อไป จนช่วงบ่าย อากาศดูดีขึ้น อาจจะพอลุ้นได้บ้าง เลยตัดสินใจขับรถไป Emerald Lake เพราะคาดว่า อาศัยช่วง Blue Hour และ Reflection น่าจะทำให้ภาพที่ได้ไม่แย่มาก มุมนี้เกือบต้องพลาด เพราะเมื่อไปถึง เจอกับกลุ่มคนจีนกลุ่มใหญ่ที่เจอเมื่อวาน ยืนถ่ายบล๊อคมุมแทบไม่เหลือ แต่พอมีโชคเหลืออยู่บ้าง กลุ่มคนจีนกลุ่มนี้พอถ่ายได้ซักพักนึง ก็ย้ายออก เปิดโอกาสให้พวกผมได้ถ่ายบ้าง ซึ่งภาพก็ออกมาโอเคเลยครับ
ภาพมุมสะท้อนของร้านอาหารที่ Emerald Lake
ผ่านไปหลายวัน ยังไม่ได้ออกไปเห็นฟองอากาศซักที วันที่สี่นี้ ไม่ได้ละ ยังไงก็ต้องออกไปตามหาฟองอากาศแล้ว จากพยากรณ์อากาศวันนี้จะเป็นวันเดียวที่ฟ้าเปิด ใจเริ่มดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยน่าจะได้ภาพกลับมาบ้าง มุ่งหน้าตรงสู่ Abraham Lake ซึ่งเป็นเป้าหมายของการตามล่าฟองอากาศ เพราะหลายวันที่ผ่านมาหิมะตกหนักมาตลอด ทะเลสาบเลยแทบจะถูกคลุมด้วยหิมะ ผมกับพี่เอิ๊กต้องเดินเข้าไปในทะเลสาบพอสมควร ถึงจะพอเริ่มเห็นรอยแตกที่โพล่ขึ้นมาให้เห็นฟองอากาศ และนั่งเดินหามุมอยู่พอสมควร ผมก็ได้ภาพก่อนพระอาทิตย์ขึ้นตามรูปข้างล่างเลยครับ
ภาพฟองอากาศที่ Abraham Lake ช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
พระอาทิตย์ดันขึ้นมาหลังเมฆซะงั้น ผมนั่งลุ้นหวังว่าตอนช่วงพ้นเมฆ อาจจะผ่านยอดเขาเป็นประกายดาวให้ถ่ายเก็บไว้ แต่ไม่รอดครับ หลังจากพ้นเมฆนึงก็โดนอีกอันบังมิด ไม่มีประกายดาวให้ถ่ายครับ
ภาพฟองอากาศที่ Abraham Lake หลังพระอาทิตย์ขึ้น
จบจากแสงเช้า ผมกับพี่เอิ๊กได้มีไปสำรวจที่ Vermillion Lake หวังว่าจะเจอแผ่นน้ำแข็งให้ถ่ายภาพสะท้อน แต่ก็ผิดหวัง ทะเลสาบถูกหิมะคลุมทั้งหมดไม่เหลือช่องใดๆให้เห็นน้ำแข็งข้างล่าง เนื่องจากที่ Abraham Lake ค่อนข้างใหญ่ ทำให้มีหลายมุมให้เดินหาฟองอากาศ ช่วงแสงเย็นจึงไปซ้ำเก็บภาพฟองอากาศอีกครั้ง ผมวนไปสำรวจหลายมุม ส่วนใหญ่น้ำในทะเลสาบยังไม่แข็ง ทำให้ไม่มีทั้งฟองอากาศและเดินไปบนทะเลสาบไม่ได้ แต่มีอยู่มุมหนึ่ง มีหิมะคลุมอยู่หนา แต่จากที่ดูสภาพ เหมือนมีคนตั้งใจกวาดหิมะ เปิดช่องให้ถ่ายรูปไว้ (เดาว่า น่าจะเป็น Photo Trip ของช่างภาพซักคน) ไม่รอช้า ก่อนที่แสงเย็นจะหมด ผมกับพี่เอิ๊กนั่งเล็งนั่งถ่ายกัน ได้รูปประมาณภาพข้างล่างนี้เลย
แสงเย็นกับฟองอากาศที่ Abraham Lake
นอกจากภาพมุมกว้างที่ถ่ายกับทิวเขา ภาพมุมเจาะของฟองอากาศ ผมว่าก็น่าสนใจไม่น้อย มองไปแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในห้วงอวกาศยังไงยังงั้นเลยครับ
มุมเจาะของฟองอากาศที่ Abraham Lake
หมดวันก็หมดเวลาสนุกแล้วสิ วันรุ่งขึ้น พวกผมต้องเดินทางกลับเข้าเมือง Calgary เพื่อรอบินกลับแล้ว เนื่องจากไฟลต์ค่อนข้างดึก ก่อนกลับไปสนามบิน จึงแวะถ่ายวิวเมือง Calgary ก่อนกลับซักภาพ